กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับล่าสุด กำหนดชัดเจนว่า ร้านค้า ผับ บาร์ ร้านอาหาร และจุดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท ห้ามจำหน่ายสุราให้กับบุคคลที่มีอาการมึนเมา หากฝ่าฝืน และลูกค้ารายนั้นไปก่อเหตุจนเกิดความเสียหายภายหลัง ร้านค้าอาจถูกดึงเข้ามาร่วมรับผิดทั้งทางแพ่งและอาญา ถือเป็นการเพิ่ม “ความรับผิดชอบของผู้ขาย” ให้มีบทบาทในห่วงโซ่ความปลอดภัยมากขึ้น
เน้นบทบาทผู้ขาย “ต้องรับผิดชอบร่วม” ไม่ใช่แค่ขายแล้วจบ
สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ ยังคงอิงโครงสร้างจาก พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เดิม แต่ปรับน้ำหนักไปที่ ผู้ขายและผู้ประกอบการ มากขึ้น โดยให้ถือเป็นด่านสำคัญในการคัดกรองไม่ให้บุคคลที่มีความเสี่ยงได้รับแอลกอฮอล์เพิ่ม โดยเฉพาะกลุ่มต่อไปนี้
-
ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
-
ผู้ที่มีอาการมึนเมาชัดเจน หรืออยู่ในภาวะที่ควบคุมสติไม่ได้
หากร้านยังคงจำหน่ายให้บุคคลดังกล่าว และภายหลังเกิดเหตุทะเลาะวิวาท อุบัติเหตุ หรือทำให้มีผู้บาดเจ็บ–เสียชีวิต ผู้ขายอาจถูกพิจารณาว่า “มีส่วนร่วม” ทำให้เกิดความเสียหาย และต้องรับผิดชอบร่วมกับผู้ก่อเหตุ

ห้ามขายให้ “คนเมา” แต่ดูจากอะไรเป็นหลัก
คำว่า “ผู้ที่มีอาการมึนเมา” ยังเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการจับตามอง เพราะต้องใช้ในการตัดสินใจหน้าร้าน โดยภาพรวม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักอธิบายลักษณะอาการที่พบได้บ่อยว่า
-
เดินเซ ล้มง่าย หรือทรงตัวยาก
-
พูดไม่ชัด หรือพูดจาติดขัด ต่างไปจากปกติ
-
ตอบสนองช้า สับสน มึนงง หรือดูไม่รับรู้สถานการณ์รอบตัว
-
มีพฤติกรรมก้าวร้าว เสียงดัง โวยวาย หรือควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ในทางปฏิบัติ พนักงานหน้าร้านต้องใช้ “ดุลยพินิจ” ประกอบร่วมกับสถานการณ์ หากเห็นว่าเข้าข่ายคนเมาชัดเจน สามารถปฏิเสธการขายได้โดยอ้างอิงตามกฎหมาย
เวลา–สถานที่ขายสุรา ยังต้องทำตามข้อกำหนดเดิม
นอกจากข้อห้ามขายให้คนเมาแล้ว ร้านค้าต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นของกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควบคู่ไปด้วย เช่น
-
เวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามช่วงเวลาที่กฎหมายและประกาศที่เกี่ยวข้องกำหนด (เช่น ช่วงกลางวันและกลางคืนในกรอบที่อนุญาต)
-
ห้ามขายให้บุคคลที่อายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ หากสงสัยเรื่องอายุ ผู้ขายมีสิทธิขอตรวจดูบัตรประชาชน หรือหลักฐานยืนยันตัวตน
-
ห้ามขายในสถานที่ต้องห้าม เช่น รอบสถานศึกษา สถานพยาบาล สวนสาธารณะ สถานีขนส่ง รวมถึงพื้นที่ราชการบางประเภท ตามที่มีประกาศกำหนด
ข้อกำหนดเหล่านี้ยังคงบังคับใช้ควบคู่กันไป โดยกฎหมายฉบับใหม่เพียงเข้ามา “เติม” เรื่องความรับผิดของผู้ขายต่อบุคคลที่เมาแล้วเป็นหลัก
ความเสี่ยงและบทลงโทษ หากยังขายให้ลูกค้าที่เมา
หากพบว่าร้านค้าจำหน่ายสุราให้ผู้ที่มีอาการมึนเมาอย่างชัดเจน ผลที่ตามมามีทั้งด้านคดีและด้านภาพลักษณ์ธุรกิจ ได้แก่
-
โทษปรับตามอัตราที่กฎหมายกำหนด สำหรับความผิดฐานจำหน่ายให้บุคคลต้องห้าม
-
กรณีเกิดเหตุรุนแรง เช่น การทำร้ายร่างกาย หรืออุบัติเหตุที่สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ร้านอาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายร่วมกับผู้ก่อเหตุ
-
เจ้าพนักงานมีอำนาจเข้าตรวจสอบ หากพบการฝ่าฝืนซ้ำ หรือร้ายแรง อาจนำไปสู่คำสั่งพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาตจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ในมุมของผู้ประกอบการ จึงไม่ใช่เพียงเรื่อง “ทำผิดโดนปรับ” แต่ยังเกี่ยวข้องกับความน่าเชื่อถือของร้าน และความเสี่ยงทางธุรกิจในระยะยาว
สิ่งที่ร้านค้าและผู้ประกอบการควรทำทันที
แม้รายละเอียดเชิงเทคนิคบางส่วนยังอยู่ระหว่างการจัดทำโดยหน่วยงานรัฐ แต่กฎหมายหลักมีผลใช้บังคับแล้ว ผู้ประกอบการจึงควรเริ่มปรับตัวตั้งแต่ตอนนี้ โดยอาจดำเนินการดังนี้
-
อบรมและให้ข้อมูลพนักงานหน้าร้าน
-
อธิบายข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขายสุราให้เข้าใจตรงกัน
-
ฝึกการสังเกตอาการมึนเมา และวิธีปฏิเสธการขายอย่างสุภาพ ลดโอกาสเกิดการโต้เถียงกับลูกค้า
-
-
กำหนดนโยบายภายในร้านให้ชัดเจน
-
ติดป้ายหรือประกาศแจ้งเตือนในพื้นที่ร้าน เช่น “งดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้มีอาการมึนเมา และผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี”
-
วางแนวทางปฏิบัติเมื่อเกิดกรณีลูกค้าไม่พอใจ เช่น วิธีขอความช่วยเหลือจากผู้จัดการหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
-
-
เตรียมหลักฐานยืนยันการปฏิบัติตามกฎหมาย
-
ใช้กล้องวงจรปิดบันทึกภาพในพื้นที่สำคัญ เพื่อใช้ตรวจสอบกรณีเกิดข้อพิพาท
-
เอกสารหรือบันทึกการอบรมพนักงาน คู่มือการปฏิบัติงานในร้าน ซึ่งสามารถใช้ประกอบการชี้แจงได้ในอนาคต
-
-
ติดตามประกาศและแนวปฏิบัติจากภาครัฐ
-
โดยเฉพาะเกณฑ์ย่อยเกี่ยวกับการประเมิน “อาการเมา”
-
เมื่อมีแนวทางชัดเจนแล้ว ควรนำมาปรับใช้กับระบบการทำงานในร้านทันที
-
สรุปภาพรวม: กฎหมายเน้น “ไม่ขายต่อเมื่อเมาแล้ว”
โดยสรุป กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่มุ่งให้ผู้ขายเป็นอีกหนึ่งกลไกในการลดความเสี่ยงจากการดื่มเกินขนาด เน้นว่า ห้ามขายต่อให้ลูกค้าที่มีอาการมึนเมาแล้ว และเพิ่มภาระความรับผิดชอบของร้านค้า หากเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ตามมา
ในช่วงที่รายละเอียดเชิงปฏิบัติยังทยอยออกมา ผู้ประกอบการสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการใช้ดุลยพินิจอย่างระมัดระวัง จัดระบบการทำงานของร้านให้สอดคล้องกับกฎหมาย อบรมพนักงานอย่างต่อเนื่อง และติดตามข่าวสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นไปในกรอบที่กฎหมายกำหนดและไม่กระทบต่อความปลอดภัยของสังคมโดยรวม